top of page

บทที่ 1

การออกแบบเว็บไซต์

สาระสำคัญ

  ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งในอินเทอร์เน็ตและประกอบด้วยเว็บไซต์ต่าง ๆ มากมาย การที่เราจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองบ้างก็ไม่ใช่เรื่องอยากเพียงแต่ต้องทำการเรียนรู้ถึงหลักการออกแบบเว็บไซต์ การสร้างเว็บไซต์และเว็บเพจซึ้งเราจะมาศึกษากันในบทนี้

จุดประสงค์การเรียนรู้

1. บอกความหมายของอินเทอร์เน็ตและส่วนประกอบที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต

2. อธิบาย

1.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นระบบเครือข่าย (Network) ที่เชื่อมโยงเครือข่ายมากมายหลากหลายเครือข่ายทั่วโลกเข้าด้วยกัน อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีแหล่งข้อมูลในทุกๆด้านให้ผู้ที่สนใจเข้าไปค้นคว้าหามาใช้ได้อย่างสะดวก,รวดเร็ว และง่ายดาย

1.1.1 หลักการทำงานของอินเทอร์เน็ต

การทำงานของอินเทอร์เน็ตนั้นจะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันดังนี้

1.1.1.1 TCP/ IP: ภาษาสื่อสาร

การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้นจำเป็นต้องมี ภาษาสื่อสาร (ที่เรียกว่า โพรโตคอ (Protocol)) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อนให้สื่อสารเข้าใจกันได้ ภาษาสื่อสารในคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมายแตกต่างกันตามระบบที่ใช้ ซึ้งเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่ในระบบจะต้องใช้ภาษาสื่อสารเดียวกันจึงจะติดต่อสื่อสารกันได้

  ในระบบอินเทอร์เน็ตจะใช้ภาษาสื่อสารมาตรฐาน TCP/ IP อ่านว่า ทีซีพีไอพี ซึ้งย่อมาจากคำว่า Transmission Control Protocol/internet protocol เป็นภาษาหลัก ดังนั้น หากเครื่อง

คอมพิวเตอร์ใดไม่ว่าจะเป็นเครื่อง PC MAC หรือเครื่องระดับมินิ  จนไปถึงเมนเฟรม หากมี TCP/ IP นี้อยู่ก็จะสามารถเชี่อมโยงเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้

  ตัวอย่างของโพรโตคอลที่ใช้ในอินเทอร์เน็ตได้แก่

HTTP                ที่ใช้ในการส่งหน้าเว็บเพจ

FTP                   ที่ใช้ในการส่งไฟล์                     เป็นต้น

1.1.1.2 IP Address :  หมายเลขประจำเครื่อง

    เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต จะต้องมีหมายเลขประจำเครื่องไม่ซ้ำกันเลย เรียกว่า IP Address หรือ Internet Address เพื่อใช้เป็นตัวชี้เฉพาะให้กับระบบเมื่อมีการติดต่อสื่อสาร ภาษา TCP/ IP จะใช้หมายเลข  IP Address ของเคคื่องต้นทางและปลายทางนี้ในการกำกับข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในระบบเพื่อให้สามารถส่งไปยังที่หมายได้อย่างถูกต้องดังนั้น ถ้าเปรียบเทียบแต่ละเครื่องเป็นบ้านแต่ละหลัง IP Address ก็คือบ้านเลขที่ของบ้านแต่ละหลังนั้นเอง

IP Address จะประกอบด้วยข้อมูลจำนวน 32 บิด โดยแยกออกเป็น 4 ส่วน ๆ ละ 8 บิด โดยแต่ละส่วนจะคั่นกันด้วยเครื่องหมายจุด เช่น  207.68.156.54 เป็นต้น

1.1.1.3 Domain Name : ตั้งชื่อแทนหมายเลข

          เมื่อระบบอินเทอร์เน็ตมีเครื่องต่างๆ เข้าร่วมในระบบมากขึ้น การใช้ IP Address ในการอ้างอิงเครื่องคอมพิวเตอร์ของแต่ละขององค์กรเริ่มกระทำได้ยากขึ้น เนื่องจาก IP Address เป็นตัวเลขที่ยากแก่การจดจำ ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ตจึงอนุญาตให้เครื่องแต่ละเครื่องในระบบสามารถตั้งชื่อขึ้นมาแทนได้ เพื่อให้ผู้ที่ต้องกาติดต่อด้วยเรียกใช้ได้สะดวกขึ้น ชื่อเหล่านี้เหล่านี้เรียกว่า ชื่อโดเมน (Domain Name)

     ชื่อเมนะต้องเขียนอยู่ในรูปแบบของระบบชื่อโดเมน (Domain Name System หรือ DNS )

โดยชื่อโดเมนจะแบ่งออกเป็นระดับชั้น โดยอาจจะเป็น 2 ระดับ หรือ 3 ระดับก็ได้ โดยแต่ละระดับจะคั่นกันด้วยเครื่องหมายจุดเช่นเดียวกับ IP Address

ชื่อองค์กร

สามารถใช้ตัว a ถึง z หรือตัวเลข0 ถึง 9 และเครื่องหมาย( hypen ) มาประกอบกันเป็นชื่อ เช่น SOFTPRESS 

    ส่วนขยายบอกประเภทขององค์กรเจ้าของเครื่อง ซึ้งอาจเป็น

Com หรือ  co     องค์กรเอกชน

Edu  หรือ  ac       สถาบันการศึกษา

Gov หรือ  go       องค์กรของรัฐ

Mil หรือ  mi      องค์กรทางทหาร

Met                    องค์กรให้บริการเครือข่าย     

Org หรือ  or      องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร

1.1.2  การเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต

       บุคคลธรรมดาทั่วไปสามารถขอเชื่อมต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ เชื่อมต่อผ่านทางสายโทรศัพท์ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกส่า โดเมน ซึ้งค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนักเรามักเรียกการเชื่อต่อแบบนี้ว่า การเชื่อมต่อแบบ dial-up โดยผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกของผู้ให้บริการการเชื่อมต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ต หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า ไอเอสพี ซึ้ง ISP นี้เป็นองค์กรๆ หนึ่ง ที่ได้ทำการติดตั้งและดูแลเครื่องให้บริการ SERVER ที่ต่อตรงเข้ากับอินเทอร์เน็ตที่อนุญาตให้ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกองค์กรนำระบบของตนเข้ามาเชื่อมต่อได้ ISP จึงเปรียบเสมือนช่องทางผ่านเข้าสู่อินเทอร์เน็ต ซึ้งหลักจากที่เราเชื่องต่ออินเทอร์เน็ตได้แล้วเราก็จะสามารถไปยังที่ใดๆ ก็ได้ในระบบ

1.1.3   เวิลด์ไวด์เว็บ ( World wide wed ) 

 

เวิลด์ไวด์เว็บ ( World wide wed หรือ WWW หรือ W3)  

เป็นบริการข้อมูลข่าวสารในแบบสื่อผสมหรือมัลติมีเดีย กล่าวคือ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลที่มีทั้งข้อความ ภาพ และเสียงประกอบกัน แทนที่จะมีเพียงตัวอักษรละลานตาเพียงอย่างเดียว จึงสามารถเรียกความสนใจจากผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้ข้อมูลประเภทนี้สามารถแสดงภาพเคลื่นไหวในแบบของภาพยนตร์และแสดงเสียงได้คุณภาพสูงเลยทีเดียว

ข้อมูลนี้จะถูกแบ่งเป็นหน้า ๆ แต่ละหน้าจะถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา HTML ซึ้งสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดียวกัน ดังนั้นข้อมูลจากทุกมุมโลกจึงถูกโยงใยไปมาถึงกันได้ราวกับใยแมงมุม จึงเรียกว่า เวิลด์ไวด์เว็บ หรือ เครื่อข่ายใยแมงมุม

1.1.4  มีอะไรในเวลด์ไวด์เว็บ

เว็บไซต์(web site)

เป็นที่ที่ใช้ในการจัดเก็บเว็บเพจแต่ละองค์กรที่จะนำเสนอข้อมูลของตนในรูปของเว็บนี้มักจะมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง และมักใช้ชื่อองค์กรเป็นชื่อเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ที่ใช้สนใจสามารถจดจำได้ง่าย

เว็บเพจ( web page)

เอกสารข้อมูลในแต่ละหน้าซึ้งถูกเขียนด้วยภาษา HTML ข้อมูลที่แสดงในเว็บแต่ละหน้าประกอบด้วยข้อความ ภาพ และเสียง จึงเป็นข้อมูลแบบสื่อผสมหรือมัลติมีเดย

 

โฮมเพจ (Home Page)

เว็บเพจหน้าแรกสุดของข้อมูลแต่ละเรื่องซึ้งก็เปรียบเสมือนหน้าปกของหนังสือนั่นเองส่วนของโฮมเพจนี้จะเป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเรื่องใด หร้อมกับมีเมนูในการเลือกไปยังหัวข้อต่างๆ ในเรื่องนั้นๆ ด้วย

เว็บเบราว์เซอร์(Web Browser)
เว็บเพจแต่ละหน้าเป็นเอกสารข้อมูลที่ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา HTML ดังนั้น การที่เครื่องของเราจะอ่านและแสดงผลเว็บเพจเหล่านี้เหล่า เรียกว่า เว็บเบราว์เซอร์(Web Browser)  ซึ้งมีมากมายในปัจจุบัน แต่ที่รู้จักกันดีจะได้แก่ lnternet Explorer ของบริษัทไมโครซอฟท์ Googlo Chome ของ google

1.1.5  กระบวนการทำงานชองเว็บไซต์

กระบวนการทำงานของเว็บไซต์จะมีลักษณะการทำงานแบบ Client/Serverโดยมีโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ ทางด้านของเรา ทำหน้าที่ร้องขอบริการและมีเว็บเซิร์ฟเวอร์ ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการ ด้วยการติดต่อผ่านโพรโทคอล HTTP

1.1.6  การไปยังเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต

 ตำแหน่งของเว็บ(URL)

ในการเรียกใช้เว็บเพจใดที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตนั้น เราจะต้องทราบเสียงก่อนว่าเว็บเพจเหล่านนั้นถูกเก็บอยู่ในเว็บไซต์ใด โดยตำแหน่งที่อยู่ในณุปแบบมาตาฐาน URL 

 

Protocol:  กำหนดโพรโทคอลที่เบราว์เซอร์นั้นใช้ปกติจะเป็น HTTP หรือ HTTPS 

Domain:  กำหนดชื่อเว็บไซต์ หรือ ชื่อเครื่องขององค์กรนั้น เช่น www.softpressbook.com

Path:       กำหนดเส้นทางการเข้าถึงไฟล์ในเว็บไซต์นั้น เช่น การเรียกใช้ไฟล์ในโฟลเดอร์

Filename:   กำหนดชื่อไฟลใน path ที่เราต้องเรียกใช้ เช่น http://www.domain.com/mainfolder/subfolder/file.html

 

การไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการ

การไปยังเว็บไซต์หรือเว็บดพจใดๆ จะกระทำได้โดยเปิดใช้เว็บเบราว์เซอร์ แล้วกระทำดังนี้

-  จากAddress Bar

พิมพ์ตำแหน่งที่อยู่ของเว็บที่ต้องการ แล้วกด Enter

 

หรือ

-  จากเมนู File เลือกคำสั่ง Open พิมพ์ตำแหน่งที่อยู่ของเว็บที่ต้องการแล้วกดปุ่ม OK หรือกด Enter

1.2 ประเภทของเว็บไซต์

เว็บไซต์จะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามการใช้งานดังนี้

1.  เว็บท่า (Portal site)

เว็บท่านั้นอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่าเว็บวาไรตี้ ซึ้งหมายถึงเว็บที่รวมบริการต่างๆ ไว้มากมาย มักประกอบไปด้วยบริการเครื่องมือค้นหาที่รวบรวมลิงค์ของเว็บไซต์ที่น่าสนใจรวมถึงบริการที่เกี่ยวกับเรื่องราวที่มีสารระและบันเทิงหลากหลายประเภท เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ดูดวง ท่องเที่ยว IT เกม สุขภาพหรืออื่นๆ นอกจากนั้นแล้วเว็บท่ายังมีลักษณะเป็นแหล่งแลกเปรี่ยนความคิดเห็นของผู้คนในสังคมในเรื่องเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ซึ้งเรียกว่า เว็บชุมชน อีกด้วย

2.  เว็บข่าว

เว็บข่าวมักเป็นเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยองค์กรข่าวหรือสถาบันสื่อสารมวลชนต่าง ๆ ที่มีสื่อประเภทต่าง ๆ ของตนเองอยู่เป็นหลัก เช่น สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร หรือแม้กระทั่งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ แต่ละองค์กรเหล่านี้ได้นำเว็บไซต์มาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อนำเสนอข่าวสารและสารระที่เป็นการสรุปใจความสำคัญหรือรวบรวมเนื้อหาจากข่าวในรอบเดือนหรือรอบปี ซึ้งช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลและติดตามข่าวสารได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม

3.  เว็บข้อมูล

เว็บข้อมูลนั้นเป็นเว็บที่ให้บริการเกี่ยวกับการสืบค้นข้อมูล ข่าวสาร หรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้คนที่สนใจได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวกับองค์กรของตนได้อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสในการปรพชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจอันดีให้แก่ผู้คนในสังคมอีกด้วย

4.  เว็บธุรกิจหรือการตลาด

เว็บธุรกิจหรือการตลาด เป็นเว็บไซต์ที่มักสร้างขึ้นโดยองค์กรธุรกิจต่าง ๆ มีจุดมุ่งหมายหลักในการประชาสัมพันธ์องค์กรและเพิ่มผลกำไรทางการค้า โดยเนื้อหารส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมักจะเป็นการนำเสนอที่มีตวามน่าสนใจและตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อผลกำไรทางธุรกิจนั่นเอง

5.   เว็บการศึกษา

เว็บการศึกษามักเป็นเว็บที่สร้างขึ้นโดยสถาบันศึกษาต่างๆ หรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีนโยบายในการเผยแพร่ความรู้และให้โอกาสในการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อนการศึกษาแก่ มักเรียน นิสิต นักศีกษา รวมไปถึงประชาชนทั่วไป เว็บการศึกษาจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการนอกจากนี้แล้วยังรวมถึงเว็บที่สอนหรือให้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น การทำเว็บ การทำอาหาร การถ่ายภาพ การเขียนโปรแกรม เป็นต้น

6.   เว็บบันเทิง

เว็บบันเทิงนั้นมุ่งเสนอและให้บริการต่างๆ เพื่อนเสริมสร้างความบันเทิง โดยทั่วไปอาจนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการบันเทิงทั่วไป เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ ดารา กีฬา ความรัก บทกลอน การ์ตูน เรื่องขำขัน รวมถึงการให้บริการให้บริการดาวน์โหลดโลโก้และรินโทนสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกด้วยเว็บประเภทนี้อาจมีรูปแบบที่เป็นอินเตอร์แอคทีฟที่ตื่นเต้นตื่นใจ หรือใช้เทคโนโลยีมัลติมีเดียได้มากกว่าเว็บประเภทอื่น

7.   เว็บองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร

เว็บประเภทนี้มักจะเป็นเว็บที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มบุคคลหรือองค์กรต่างๆ ที่มีนโยบายในการสร้างสรรค์ที่ช่วยเหลือสังคมโยที่ไม่หวังผลกำไรหรือค่าตอบแทนที่มีนโยบายในการสร้างสรรค์ที่ช่วยเหลือสังคมโดยที่ไม่หวังผล

กำไรหรือค่าตอบแทน ซึ้งกลุ่มบุคคลหรือองค์กรเหล่านี้ได้แก่

สมาคม ชมรม มูลนิธิ และโครงการต่างๆ

โดยอาจมีจุดประสงค์เฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อทำความดี

สร้างสรรค์สังคม พิทักษ์สิ่งแวดล้อม ปกป้องสิทธิมนุษยชน

รณรงค์ไม่ให้สูบบุหรี่หรืออาจรวมตัวกันเพื่อดูแลผลประโยชน์ข

องสมาชิกในกลุ่ม

8. เว็บส่วนตัว

เว็บส่วนตัวตัวอาจเป็นเว็บคนๆ เดียว เพื่อนฝูง

หรือครอบครัวก็ได้ โดยอาจจัดทำขึ้นด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

เช่น แนะนำกลุ่มเพื่อน โชว์รูปภาพ แสดงความคิดเห็น

เขียนไดอารี่ประจำวัน นำเสนอผลงาน

ถ่ายทอดประสบการที่เกี่ยวกับสิ่งที่เชี่ยวชาญหรือสนใจ เป็นต้น

1.3 หลักในการออกแบบเว็บไซต์

การออกแบบเว็บไซต์เป็นการกำหนดเป้าหมายของเว็บไซต์

เนื้อหารสาระ การใช้ภาพและองค์ประกอบต่าง ๆ

และการเชื่อมโยงเนื้อหา

การออกแบบเว็บไซต์ควรคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก

เพื่ออนำมากำหนดองค์ประกอบภายในเว็บ

การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีควรมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ตรงกั

บที่ผู้ใช้ต้องการใช้เวลาในการดาวน์โหลดน้อย

 

แสดงผลเร็ว มีการใช้งานที่สะดวกและ เข้าใจง่าย

และมีการพัฒนาเนื้อหาอยู่เสมอ

1.3.1 ขั้นตอนในการออกแบบเว็บไซต์

ในการออกเว็บไซต์จะมีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 กำหนดโครงสร้างของเว็บไซต์

การสร้างเว็บไซต์นั้นควรเริ่มจากการสร้างแผนผังของเว็บไซต์ก่

อน หรือที่เรียกว่า Site Map

ขั้นตอนที่ 2 กำหนดการเชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ

เราต้องกำหนดการเชื่อมโยงให้เว็บเพจแต่ละหน้าเชื่อมโยงถึงกั

นเพื่อให้กลับไปหกลับมาระหว่างหน้าต่างๆ

ได้โดยแสดงชื่อไฟล์ HTML

แต่ละไฟล์ที่มีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน

ชั้นตอนที่ 3 การออกแบบเว็บเพจแต่ละหน้า

เราสามารถออกแบบหน้าเว็บเพจแต่ละหน้าให้สวยงาม

โดยเฉพาะในเพจหน้าแรก ซึ้งเรียกว่า โฮมเพจ

ควรออกแบบให้สวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม

ในขั้นตอนการออกแบบนี้บางที่อาจเรียกว่า

การวางเค้าโครง

ขั้นตอนที่4 การสร้างเว็บเพจแต่ละหน้า

นำเว็บเพจที่ออกแบบไว้มาสร้างโดยภาษา HTML

หรืออาจใช้โปรแกรมสำเร็จรูปตามความถนัด

ขั้นตอนที่5 การลงทะเบียนขอพื้นที่เว็บไซต์

 

เป็นการเผยแพร่เว็บไซต์ที่สร้างเสร็จแล้วเข้าสู่ระบบเครือข่ายอิน

เทอร์เน็ต เพื่อให้บุคคลอื่นๆ

สามารถเข้าชมเว็บไซต์ของเราได้

วิธีการก็คือนำเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นไปไว้บนพื้นที่ที่ให้บริการ

รับฝากเว็บไซต์

ซึ้งมีทั้งแบบให้บริการฟรีและแบบที่ต้องเสียค่าบริการ

ขั้นตอนที่ 6 การอัปโหลดเว็บไซต์

หลังจากสร้างเว็บไซต์และลงทะเบียนขอพื้นที่สำหรับฝากเว็บไซต์ ให้ใช้โปรแกรมสำหรับอัปโหลด เช่น โปรแกรม CuteFTP เพื่อทำการโอนย้ายไฟล์เว็บไซต์ของเราไปไว้ยัง Web Hosting ที่เราขอใช้บริการไว้เพื่อให้คนทั่วโลกสามารถเข้าช

1.3.2 รูปแบบโครงสร้างของเว็บไซต์

การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ สามารถทำได้หลากหลายขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลความถนัดของผู้ออกแบบ ตลอดจนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องหารนำเสนอ โครงสร้างของเว็บไซต์ประกอบไปด้วย 4 รูปแบบใหญ่ ๆ ได้ดังนี้

1.โครงสร้างของเว็บไซต์แบบเรียงตามลำดับ

เป็นโครงสร้างแบบธรรมดาที่ใช้กันมากที่สุดเนื่องจากง่ายต่อดารจัดเจ็บข้อมูลที่่นิยมจัดด้วยโครงสร้างแบบนี้มักเป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็นเรื่องราวตามลำดับ เช่น การเรียงลำดับจัดด้วยโครงสร้างแบบนี้มักเป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็นเรื่องราวตามลำดับ เช่น การเรียงลำดับตามอักษร ดัชนี สารานุกรม หรืออภิธานศัพท์ ดรงสร้างแบบนี้ เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีขนาดเล็กเนื้อหาไม่ซับซ้อน ใช้การเชื่อมโยง ไปที่ลพหน้า ทิศทางของการเข้าสู่เนื้อหาภายในเว็บจะเป็นการดำเนินเรื่องในลักษณะเส้นตรง โดยมักจะมีปุ่มเดินหน้า-ถอยหลังเป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดทิศทาง ข้อเสียของโครงสร้างระบบนี้คือ ผู้ใช้ไม่สามารถกำหนดทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาของตนเองได้ทำให้เสียเวลาในการเข้าสู่เนื้อหา

2.โครงสร้างเว็บไซต์แบบลำดับขั้น

 เป็นโครงสร้างที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่งในการจัดระบบโครงสร้างซับซ้อนของข้อมูลโดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นสาวนต่าง และมีรายละเอียดย่อย ๆ ในแต่ส่วนลดหลั่นกันมาในลักษณะแนวคิดเดียวกับแผนภูมิองค์กร จึงเป็นการง่ายต่อการทำงานความเข้าใจกับโครงสร้างของเนื้อหา

  

ลักษณะเด่นก็คือการมีจุดเริ่มต้นที่จุดเริ่มต้นที่จุดเดียว นั่นคือโฮมเพจ และเชื่อมโยงไปสู่เนื้อหาในลักษณะเป็นลำดับจากบนลงล่าง 

3.โครงสร้างของเว็บไซต์แบบตาราง

โครงสร้างรูปแบบนี้มีความซับซ้อนมากกว่ารูปแบบที่ผ่านมา การออกแบบเพิ่มความรยืดหยุ่นให้แก่การเข้าสู่เนื้อหาของผู้ใช้ โดยเพิ่มการเชื่อมโยงถึงกันและระหว่างกันเนื้อหาเเต่ละส่วนเหมาะแก่การแสดงให้เห็นความสัมพันกันของเนื้อหา การเข้าสู่เนื้อหาของผู้ใช้ไม่เป็นลักษณะเชิงเส้นตรง  เนื่องจากผู้ใช้สามารถเปลี่ยนทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาของตนเองได้ เช่น ในการศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ โดยในแต่ละสมัยแบ่งออกเป็นหัวข้อย่อยเหมือนกันคือ การปกครอง ศาสนา วัฒนธรรม และภาษา ในขณะที่ผู้ใช้กำลังศึกษาหัวข้อข้อมูลต่อไปก็ได้ หรือตรงข้ามไปดูหัวการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนก็ได้เพื่อเปรียบเทียบลักษณะข้อมูลที่เกิดขึ้นคนละสมัย

4.โครงสร้างเว็บไซต์แบบใยแมงมุม

โครงสร้างประเภทนี้จะมีความยืดหยุ่นมากที่สุด ทุกหน้าในเว็บสามารถจะเชื่อมโยงไปถึงกันได้หมด เป็นการสร้างรูปแบบเนื้อหาที่เป็นอิสระผู้ใช้สามารถกำหนดวิธีการเข้าสู่เนื้อหาเองได้ด้วยตนเองอาศัยการโยงข้อความที่มีแนวคิดเหมือนกันของแต่ละหน้าในลักษณะของไฮเปอร์มีเดีย โครงสร้างลักษณะนี้จัดเป็นรูปแบบที่ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนตายตัว นอกจากนี้การเชื่อมโยงไม่ได้จำจัดเฉพาะเนื้อหาภายในเว็บนั้น ๆ สามารถเชื่อมโยงออกไปสู่เนื้อหาในเว็บภายนอกได้ด้วย

1.4  หลักในการสร้างเว็บเพจ

1.4.1 ขั้นตอนในการสร้างเว็บเพจ

1. การวางแผน

- กำหนดเนื้อหา

  ก่อนลงมือทำการสร้างเว็บเราต้องรู้ว่าเราทำเว็บเกี่ยวกับอะไร เนื้อหาเป็นอย่างไรกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มใด ทั้งนี้เพื่อที่เราจะได้นำเนื้อหาเหล่านั้นมาใส่ในเว็บเพื่อแสดงให้รู้ว่าเนื้อหาโดยรวมเกี่ยวกับอะไร เช่น ถ้าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก็ต้องมีข้อมูลของคอมพิวเตอร์แต่ละชนิดลักษณะ ราคาแต่ละรุ่น และสถานที่ขาย เป็นต้น

  • ออกแบบการจัดเค้าโครงของหน้าเว็บ

คือการจัดวางองค์ประกอบในเว็บแต่ละส่วนใดควรจะมีอะไร อาจทำโยการร่างใส่กระดาษไว้ก่อนหรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบก็ได้ การใช้ตารางช่วยในการจัดองค์ประกอบในหน้าเว็บนั้นจะทำให้เว็บเพจมีความเป็นระเบียบยิ่งขึ้นและสะดวกต่อการแก้ไขปรับปรุง

2 .การเตรียมการ

เป็นการเตรียมการด้านข้อมูลทั้งที่เป็นเนื้อหา ภาพ เสียง หรือสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ที่คิดว่าต้องการจะนำเสนอในการทำเว็บเพจนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าเราจะทำเว็บเกี่ยวกับอะไร การรวบรวมข้อมูลก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เช่น ถ้าจะทำเว็บเกี่ยวกับโรงเรียน ก็ต้องไปหาคติพจน์ประจำโรงเรียน สีประจำโรงเรียน บุคลากรในโรงเรียน ประวัติโรงเรียน ฯลฯ มารวบรวมไว้ แล้วหลังจากนั้นก็เอาข้อมูลนั้นมาจัดรูปแบบในเว็บต่อไป การหาเครื่องมือในการจัดทำนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เครื่องมือในนี้หมายถึงโปรแกรมการทำงานต่าง ๆ เช่นโปรแกรมจัดการรูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ โปรแกรมในการจัดทำเว็บเพจซึ้งจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปหรือจะเขียนเอง 

3. กาจัดทำ

เมื่อวางแผนและเตรียมการเรียบร้อย ก็ถึงเวลาจัดทำ อาจจะทำคนเดียวหรือทำเป็นกลุ่มโดยใช้เครื่องมือที่เตรียมไว้

4. การทดสอบและการแก้ไข

การสร้างเว็บเพจทุกครั้งเพื่อหาข้อบกพร่อง แล้วนำมาแก้ไข การทำเว็บนั้นเมื่อทำเสร็จและอัปโหลดไปไว้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์แล้ว ให้ทดลองแนะนำเพื่อนสนิทและใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ลองเปิดดูแล้วให้บอกข้อผิดพลาดมา เช่น การเชื่อมโยงต่าง ๆ รูปภาพและตัวอักษรว่าถูกหรือเปล่า การทดสอบที่เครื่องของตนเองมักจะไม่ค่อยปรากฏข้อผิดพลาดให้เห็นเรื่องจากว่าข้อมูลต่าง ๆ จะอยู่ในเครื่องของตนเอง รวมทั้งการเชื่อมโยงต่าง ๆ ก็เช่นกัน โปรแกรมจะทำการค้นหาในเครื่องจนพบ ทำให้เราไม่เห็นข้อผิดพลาด หลังจากทดสอบแล้วให้ดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น ๆ 

5. การนำเว็บเพจต่าง ๆ มารวบรวมเป็นเว็บไซต์

เมื่อสร้างเว็บเพจเสร็จแล้วนำมาจัดรวบรวมและเรียบเรียงหน้าเว็บเพจแต่ละหน้า แล้วทำการทดสอบและแก้ไข เมื่อแก้ปรับปรุงเสร็จแล้วก้สามารถเผยแพร่เว็บเพจทั้งหมดสาธารณะ ในรูปแบบของเว็บไซต์

1.4.2 วิธีการสร้างเว็บเพจ

ดังที่ได้ทราบกันแล้วว่า เว็บเพจ เป็นเอกสารซึ่งถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา HTML ดังนั้นการที่เราจะมีเว็บเพจเป็นของตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องยาก จากนี้ไปเราจะเริ่มศึกษาและสร้างเว็บเพจกัน

   การสร้างเว็บเพจ จะกระทำได้ 3 ทางด้วยกัน คือ

1.สร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป

2.สร้างด้วยโปรแกรมระบบ CMS 

3.สร้างขึ้นเอง

1.4.2.1 การสร้างเว็บเพจด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป

เป็นการใช้โปรแกรมต่าง ๆ ที่มีความสามารถในการสร้างเว็บเพจ เช่น Microsoft frontpage adobe dreamweaver.หรือโปรแกรม Microsoft office Microsoft word เป็นต้น การสร้างเว็บเพจด้วยวิธีนี้เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้คำสั่งของภาษาhtml แต่อย่างใดโดยโปรแกรมเหล่านี้จะทำการแปลงให้เราเองโดยอัตโนมัติ

1.4.2.2 การสร้างเว็บเพจด้วยโปรแกรมระบบ CMS 

Cms เป็นระบบที่นำมาช่วยในการสร้างและบริหารเว็บไซต์แบบสำเร็จรูปโดยใน การใช้งาน cms นั้นผู้ใช้งานแทบไม่ต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรมก็สามารถสร้างโปรแกรมแถมมาและสามารถแทรงเองได้มากมาย เช่น webboard ระบบจัดการป้ายโฆษณา ระบบนับจำนวนผู้ชบ แม้กระทั่งตระกร้าสินค้า และอื่น ๆอีกมากมาย

Cms เป็นเหมือนโปรแกรม ๆ หนึ่งที่มีผู้พัฒนามาจากภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในเว็บไซต์ เช่น php python asp jsp ปัจจุบันมีผู้พัฒนา cms ฟรีขึ้นมามากมาย อย่าง wordpress เป็นต้นซึ้งแน่นอนว่าผู้พัฒนาระบบ cms ฟรีที่กล่าวมา ล้วนเป็นมืออาชีพที่มีฝีมือในเรื่องของเว็บไซต์เป็นอย่างดี ทั้งการเขียนโปรแกรมที่รัดกุม การออกแบบเนวิเกชั่นที่ดี ทำให้ภาพรวมของเว็บไซต์ที่ใช้ cms นั้นออกมาในแนวมืออาชีพอย่างมาก

Wordpress

 Wordpress ถือได้ว่าเป็นฟรีสคริปต์ cms ที่มาแรงและได้รับความนิยมในการนำไปใช้สร้างเว็บหรือบล็อกมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากการคิดที่ติดตั้งที่แสนจะง่ายดาย บวกกับความสะดวกในการใช้งาน การปรับแต่งแก้ไข รวมไปถึงสคริปต์ ปลั๊กอินเยี่ยมๆ เทมเพลตสวยๆ น่าใช้ที่ถูกออกแบบสร้างไว้โดยนักพัฒนาหรือโปรแกรมเกมเมอร์ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานกันได้ฟรี ๆ 

Joomla

Joomla เป็นอีกหนึ่งฟรีสคริปต์ CMS ที่ได้รับความนิยมอีกตัวหนึ่งซึ้งสามารถนำcms ฟรีตัวนี้ไปปรับแต่งสร้างเป็นเว็บไซต์ของบริษัท ห้างร้าน องค์กร หรือทางด้านธุรกิจได้อย่างลงตัวทีเดียวเองก็มีปลั๊กอินฟรีเอาไว้ในสามารถดาวน์โหลดไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างหลากหลายเช่นกัน

Drupal

Drupal เป็นอีกหนึ่งฟรีสคริปต์ ที่มีผู้ใช้มากพอสมควร ซึ้งมีธีมและโมดูลให้ดาวน์โหลดไปใช้มากมาย แต่ติดปัญหาเนื่องจากว่าการติดตั้งและใช้งานจะยุ่งยากกว่า wordpress มาก ในบ้านเราจึงไม่ค่อยเห็นเว็บบล็อกที่เราสร้างด้วย drupal มากนัก

ข้อดีของ cms

  1. ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการทำเว็บไซต์ เพียงแค่เล่นอินเทอร์เน็ตเป็นบ้างก็สามารถมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้

  2.  ไม่เสียเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ ไม่เสียเงินจำนวนมาก

  3. ง่ายต่อการดูแล เพราะมีระบบจัดการทุกอย่างให้เราหมด

  4. มีระบบจัดการที่เราสามารถหามาใส่เพิ่มได้มากมาย

  5. สามารถเปลี่ยนหน้าตาเว็บไซต์ได้ง่าย เพียงแค่โหลดธีมของ cms นั้นๆ

ข้อเสียของ cms

1.ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการออกแบบธีม(หน้าตาของเว็บ)เอง จะต้องใช้ความรู้มากว่าปกติเนื่องจากมีหลายๆ ระบบมารวมกันทำให้เกิดความยุ่งยากสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้

2. ผู้ใช้จะต้องศึกษาระบบ ที่ผู้พัฒนาสร้างขึ้นมา เช่น จะต้องใส่ข้อความลงตรงไหนจะต้องแทรกภาพอย่างไร

3.ในการใช้งานจริงนั้นจะมีความยุ่งยากในการติดตั้งครั้งแรกกับเว็บเบราว์เซอร์แต่ปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการเว็บมากมายที่เสนอลงและติดตั้งระบบให้ฟรี ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

1.4.2.3 การสร้างเว็บเพจขึ้นเอง

- ภาษา HTML 

HTML เป็นภาษาพื้นฐานของการพัฒนาเว็บไซต์โดยเฉพาะ เป็นภาษาที่เว็บเบราว์เซอร์สามารถเข้าใจได้ที่สุด และแสดงผลได้เร็วที่สุดด้วยเช่นกัน

- ภาษา xml

Xml เป็นภาษาหรือชดคำสั่งเกี่ยวกับข้อมูลบนเว็บที่ให้การพัฒนาและศักยภาพในส่วนของโครงสร้างข้อมูลทำให้การจัดการข้อมูลหรือเรียกใช้ข้อมูลจากแอพพลิเคชันต่าง ๆ จะเป็นมาตรฐานเดียวกัน

        -  ภาษา jsp

Jsp เป็นเทคโนโลยีการเขียนสคริปต์บนเว็บที่ใช้ภาษา java เป็นหลักสามารถทำงานได้           โดยไม่ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ

     -  ภาษา php

     Php เป็นภาษาที่มีโครงสร้างคำสั่งมาจากภาษาซี.จาวา.และเพิร์ลซึ้งภาษา php นั้นเป็นภาษาที่ใช้สำหรับการเขียนและแสดงผลออกมาในรูปแบบของเว็ยไซต์ด้วยภาษา htmlโดยเป็นส่วนที่ใช้ในการคำนวณ ประมวลผล เก็บค่า และทำตามคำสั่งต่างๆ เช่น รับค่าจากแบบฟอร์มหรือบอย์ดแล้วนำไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลเพื่อนำมาแสดงผลต่อไป

 

1.4.3 ส่วนประกอบที่จำเป็นในหน้าเว็บเพจ

1.ส่วนหัวของหน้า

เป็นส่วนที่อยู่ตอนบนสุดของหน้า และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของหน้า เพราะเป็นส่วนที่ดึงดูดผู้ชมให้ติดตามเนื้อหาในเว็บไซต์ มักใส่ภาพกราฟิกเพื่อสร้างภาพกราฟิกเพื่อสร้างความประทับใจ ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย

- โลโก้เป็นสิ่งที่เว็บไซต์ควรมีเป็นตัวแทนของเว็บไซต์ได้อย่างเป็นอย่างดี และยังทำให้เว็บน่าเชื่อถือ

- ชื่อเว็บไซต์

- เมนูหลักหรือจุดเชื่อมโยง เป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่เนื้อหาของเว็บไซต์

2.ส่วนของเนื้อหา

เป็นส่วนที่อยู่ตอนกลางของหน้า ใช้แสดงข้อมูลเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ้งประกอบด้วย ข้อความ ตารางข้อมูล ภาพกราฟิก วิดีโอ และอื่น ๆ และอาจมีเมนูหลักหรือเฉพาะกลุ่มวางอยู่ในส่วนนี้ด้วย

สำหรับส่วนเนื้อหาควรแสดงใจความสำคัญที่เป็นหัวเรื่องไว้บนสุด ข้อมูลมีความกระชับใช้รูปแบบตัวแบบตัวอักษรที่อ่านง่ายและจัด layout ให้เหมาะสมและเป็นระเบียบ

3.ส่วนท้ายของหน้า

เป็นส่วนด้านล้างสุดของหน้า มักวางระบบนำทางที่เป็นจุดเชื่อมโยงด้วยข้อความง่ายๆ และอาจแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ ข้อความแสดงลิขสิทธิ์ วิธีการติดต่อกับผู้ดูแลเว็บไซต์ คะแนะนำการใช้เว็บไซต์ เป็น โดยปกติส่วนหัวและส่วนท้ายมักแสดงเหมือนกันในทุกหน้าของเว็บเพจ

นอกจากนี้ ยังอาจจะเพิ่มเติมส่วนประกอบต่อไปนี้ได้ตามความจำเป็น เช่น 

- วันที่ปรับปรุงแก้ไขล่าสุด

- คำชี้แจงเกี่ยวกับลิขสิทธิ์

- ตัวนับจำนวนผู้เข้าชม

-  คำเตือนให้คั่นหน้าเว็บ

-   แผนผังเว็บไซต์

-     หน้าเว็บช่วยเหลือ

- คำถามที่พบบ่อย

-   กระดานสนทนา

-     ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

1.4.4 การสร้างเว็บไซต์ให้ประสบผลสำเร็จ

เมื่อคิดจะทำเว็บไซต์ขึ้นมาสักเว็บหนึ่งนั้น ถ้าต้องการให้เว็บไซต์นั้นประสบผลสำเร็จ

  1. กำหนดเป้าหมายของเว็บไซต์ให้ชัดเจน

  2. ให้ความสำคัญในการออกแบบทำเว็บให้ดูเรียบง่าย สวยงาม สบายตา ใช้งานสะดวก มีการจัดหมวดหมู่ที่ดี ใช้สีเหมาะสม

  3. หาจุดเด่นของเว็บไซต์ให้พบ

  4. มีความเป็นหนึ่งเดียว (Unity)เว็บเพจในแต่ละหน้าไปในทิศทางเดียวกันทั้งการออกแบบ สีสัน และ เมนูทางเลือก

  5. มีเนื้อหาที่ดี มีประโยชน์

  6. สร้างเอกลักษณ์

  7. มีระบบนำทางที่ดีหมายถึงเมนูหรือปุ่มนำทางไปสู่เนื้อหาต่าง ๆ สะดวกทั้งการเข้าชมในเนื้อหาที่ลึกเข้าไปและสามรถย้อนกลับมายังหัวข้ออื่น ๆ ได้ง่าย

  8. ตรวจสอบสอบทุกการเชื่อมโยงให้ใช้งานได้จริง

  9. ลดขนาดภาพให้เหมาะสม(Navigtion bar)

10.โหลดไม้ช้า หน้าไม่ยาว(fixed lmage size)

  11. มีระบบถาม-ตอบ(faq)

      12.   ติดต่อได้สะดวกควรมีโลโก้ชื่อหน่วยงาน/องค์กร ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ อีเมลที่ติดต่อได้ และถ้ามีแผนที่สำหรับแสดงที่ตั้งด้วยยิ่งดี

      13.   หมั่นปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ (update)

สรุปท้ายบทที่ 1

1.  อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นระบบเครือข่าย (Network) ที่เชื่อมโยงเครือข่ายมากมายหลากหลายเครือข่ายทั่วโลกเข้าด้วยกัน อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีแหล่งข้อมูลในทุกๆด้านให้ผู้ที่สนใจเข้าไปค้นคว้าหามาใช้ได้อย่างสะดวก,รวดเร็ว และง่ายดาย

 

2. TCP/ IP เป็นภาษาหลักในการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบอินเทอร์เน็ต

 

3. IP Address เป็นหมายเลขประจำเครื่องที่อยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตซึ้งต้องไม่ซ้ำกันเลยเพื่อใช้เป็นตัวชี้เฉพาะให้กับระบบเมื่อมีการติดต่อสื่อสาร ภาษาสื่อสาร TCP/ IP จะใช้หมายเลข IP Address ของเครื่องต้นทางและปลายทางนี้ในการกับกำข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเข้าไปในระบบเพื่อให้สามารถส่งไปยังที่หมายได้อย่างถูกต้อง

4.  Domain Name เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นแทนหมายเลข IP Address ในการอ้างถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของแต่ละองค์กร เนื่องจาก IP Address เป็นตัวเลขที่ยากแก่การจดจำ

 

5. ISP เป็นองค์กรๆ หนึ่งที่ได้ทำกาติดตั้งและดูแลเครื่องให้บริการที่ต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตที่อนุญาตให้ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกขององค์กรนำระบบของตนเข้ามาเชื่อมต่อได้จึงเปรียบเสมือนช่องทางผ่านเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งหลังจากนั้นจากที่เราเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตไปยังที่ใดๆ ก็ได้ในระบบ

 

6. ( World wide wed หรือ WWW หรือ W3เป็นบริการข้อมูลข่าวสารในแบบสื่อผสมหรือมัลติมีเดีย กล่าวคือ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลที่มีทั้งข้อความ ภาพ และเสียงประกอบกัน ข้อมูลนี้จะถูกแบ่งเป็นหน้า ๆ แต่ละหน้าจะถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา HTML ซึ้งสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดียวกัน ดังนั้นข้อมูลจากทุกมุมโลกจึงถูกโยงใยไปมาถึงกันได้ราวกับใยแมงมุม จึงเรียกว่า เวิลด์ไวด์เว็บ หรือ เครือข่ายใยแมงมุม

 

7.Web Site เป็นเครื่องที่ใช้ในการจัดการเก็บเว็บเพจ แต่ละองค์กรที่จะนำเสนอข้อมูลของตนในรูปของเว็บนี้มักจะมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง และมักใช้ชื่อองค์กรเป็นชื่อเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถจดจำได้ง่าย

 

8. Web Page เป็นเอกสารข้อมูลในแต่ละหน้าถูกเขียนซึ่งถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา HTML ข้อมูลที่แสดงในเว็บเพจแต่ละหน้านี้อาจจะประกอบด้วยข้อความ.ภาพ.และเสียง จึงเป็นข้อมูลแบบมัลติมีเดีย

 

9. Home Page เป็นหน้าเพจแรกสุดของข้อมูลแต่ละเรื่อง ซึ้งก็เปรียบเสมือนหน้าปกของหนังสือนั้น ส่วนชองโฮมเพจนี้จะเป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเรื่องใดพร้อมกับมีสารบัญหรือมูลในการเลือกไปยังหัวข้อต่าง ๆ ในเรื่องนั้น ๆ ด้วย

 

10.Web Browser เป็นโปรแกรมสำหรับทำหน้าที่ในการไปยังหัวข้อในการแสดงผลเว็บเพจโดยเฉพาะ

11. URL (Uniform Resource Locator) เป็นตำแหน่งที่อยู่ของเว็บ ซึ่งเขียนอยู่ในรูปแบบมาตรฐาน http:/www.domain.com/mainfolder/subfolder/file.html

12. หลักในการออกแบบเว็บไซต์

1. กำหนดโครงสร้างของเว็บไซต์                            4. สร้างเว็บเพจแต่ละหน้า

2. กำหนดการเชื่อมโยงระหว่างเว็บเพจ                   5. ลงทะเบียนขอพื้นที่เว็บไซต์

3. ออกแบบเว็บเพจแต่ละหน้า                                 6.อัปโหลดเว็บไซต์

13. รูปแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ ประกอบด้วย 4 รูปแบบใหญ่ๆ ดังนี้

1. โครงสร้างของเว็บไซต์แบบเรียงตามลำดับ

2. โครงสร้างของเว็บไซต์แบบลำดับขั้น

3. โครงสร้างของเว็บไซต์แบบตาราง

4. โครงสร้างของเว็บไซต์แบบใยแมงมุม

 

14. ขั้นตอนในการสร้างเว็บเพจ

1. การวางแผน

2. การเตรียมการ

3. การจัดทำ

4. การทดสอบและการแก้ไข

5. การนำเว็บเพจต่าง ๆ มารวบรวมเป็นเว็บไซต์

 

15. การสร้างเว็บเพจ จะกระทำได้ 3 ทาง ด้วยกัน คือ

1. สร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป

2. สร้างด้วยโปรแกรมระบบ CMS

3. สร้างขั้นเอง

FAVORITES

WHAT'S NEW?

I'm a paragraph. Click here to add your own text and edit me. It’s easy. Just click “Edit Text” or double click me and you can start adding your own content and make changes to the font.

IN THE NEWS

I'm a paragraph. Click here to add your own text and edit me. It’s easy. Just click “Edit Text” or double click me and you can start adding your own content and make changes to the font.

CONTACT ME

Tel: 123-456-7890
Skype: user
Mail: info@mysite.com

© 2023 by JOHN SMITH. Proudly created with Wix.com

bottom of page